ทำไมการรักษาเส้นเลือดขอดที่คลินิกเฉพาะทางจึงเจ็บน้อยและแผลเล็กกว่าวิธีการผ่าตัดแบบเดิม

โดย | บทความเส้นเลือดขอด

หลายคนที่มีปัญหาเส้นเลือดขอดมักกังวลว่าการรักษาจะต้องเจ็บมาก มีแผลใหญ่ และต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน ภาพในความทรงจำของหลายคนคือการผ่าตัดแบบเดิมที่ต้องดมยาสลบและเปิดแผลที่ขาหนีบเพื่อดึงเส้นเลือดออกมา แต่ในปัจจุบัน การรักษาเส้นเลือดขอดได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ด้วยเทคนิคและเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ช่วยให้เจ็บน้อย แผลเล็ก และฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคลินิกเฉพาะทางที่มีความชำนาญสูง

1. จากการผ่าตัดใหญ่แบบเดิมสู่เทคนิคสมัยใหม่
ในอดีต การรักษาเส้นเลือดขอดเป็นการผ่าตัดใหญ่ ผู้ป่วยต้องเข้าห้องผ่าตัด ดมยาสลบ เปิดแผลที่ขาหนีบและหัวเข่า จากนั้นใช้วิธีดึงเส้นเลือดขอดออกมาทั้งเส้น วิธีนี้ทำให้เกิดบาดแผลยาว เจ็บมาก ฟกช้ำมาก และต้องนอนโรงพยาบาลหลายวัน

ภาพแสดงการผ่าตัดแบบเดิม ต้องลงแผลที่ขาหนีบและบริเวณเข่า (ภาพซ้าย) และดึงเส้นเลือดดำ (เส้นเลือดขอด)ออก และปิดแผลที่ลงมีด (ภาพขวา)

ภาพแสดงลักษณะของขาหลังการผ่าตัดเส้นเลือดขอดแบบเดิม 1 สัปดาห์

ในช่วง 20–30 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้เปลี่ยนวิธีการรักษาอย่างสิ้นเชิง ปัจจุบันแพทย์สามารถใช้เครื่องอัลตราซาวด์และเลเซอร์ในการรักษา โดยไม่ต้องเปิดแผลลงมีด มีแค่รูเข็มเท่านั้น

2. อัลตราซาวด์ช่วยให้เจาะตรงจุดโดยไม่ต้องเปิดแผล
เทคนิคใหม่เริ่มต้นจากการใช้ อัลตราซาวด์ เพื่อตรวจดูเส้นเลือดขอดแบบเรียลไทม์ ทำให้มองเห็นตำแหน่งเส้นเลือดที่ผิดปกติได้อย่างแม่นยำ จากนั้นแพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กแทงผ่านผิวหนัง สอดสายเล็ก ๆ เข้าไปในเส้นเลือด และใช้พลังงานเลเซอร์ทำให้เส้นเลือดปิดตัวลง

หัวเลเซอร์ให้ความร้อนประมาณ 100-120 องศาเซลเซียส ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ผนังเส้นเลือด “สุก” และปิดสนิท เมื่อทำเสร็จ สายเลเซอร์จะถูกดึงออกผ่านรูเล็ก ๆ โดยไม่ต้องเปิดแผล
ผลลัพธ์ที่ได้คือ
• ไม่ต้องกระชากเส้นเลือด
• ไม่ต้องมีแผลยาว
• ลดการฟกช้ำและบวมหลังทำ

ภาพขาก่อน (ภาพซ้าย) และหลัง (ภาพขวา)การรักษาเส้นเลือดขอดด้วยการรักษาแบบใหม่

  1. ลดความจำเป็นในการผ่าตัดแผลใหญ่

ในกรณีที่ยังใช้วิธีผ่าตัดแบบเดิม แพทย์จะต้องเปิดแผลเพื่อเข้าถึงเส้นเลือด ยิ่งถ้าผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวมาก แผลที่เปิดต้องกว้างขึ้นเพื่อให้เห็นเส้นเลือด การทำแผลแบบนี้เจ็บปวดมากและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

เทคนิคใหม่ที่คลินิกเฉพาะทางใช้ ลดความจำเป็นในการเปิดแผล ทำได้เพียงรูเล็ก ๆ ไม่กี่มิลลิเมตร ไม่ต้องเย็บแผล และไม่ต้องพักฟื้นนาน

  1. ไม่ต้องดมยาสลบ ลดความเสี่ยง

วิธีดั้งเดิมต้องดมยาสลบ ซึ่งทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น คลื่นไส้ เวียนศีรษะ และภาวะสับสน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ  การรักษาแบบใหม่ ใช้เพียงยาชาเฉพาะที่ ผู้ป่วยสามารถรู้สึกตัวตลอดเวลา และเมื่อทำเสร็จแล้วก็สามารถเดินกลับบ้านได้ทันที

  1. เสียเลือดน้อยและลดโอกาสต้องให้เลือด

การรักษาแบบใหม่ทำให้เสียเลือดน้อยมาก เพราะไม่ต้องเปิดแผลใหญ่ จึงไม่ค่อยมีความจำเป็นต้องให้เลือดระหว่างรักษา ลดความเสี่ยงจากการแพ้เลือดหรือภาวะแทรกซ้อนจากการให้เลือด

  1. ทำงานได้เร็ว ไม่ต้องหยุดพักนาน

หนึ่งในประโยชน์สำคัญของการรักษาเส้นเลือดขอดแบบใหม่ คือ การฟื้นตัวเร็ว คนไข้สามารถกลับไปทำงานได้เร็วมาก บางคนหยุดพักเพียง 1-2 วัน หลังจากนั้นสามารถทำงานหรือทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ต่างจากการผ่าตัดแบบเดิมที่ต้องหยุดงานหลายสัปดาห์  ในยุคที่เวลาและรายได้มีความสำคัญ การลดเวลาพักฟื้นจึงเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก

  1. ทำไมคลินิกเฉพาะทางจึงทำได้ดีกว่า?
  • ประสบการณ์เฉพาะด้าน
    แพทย์ในคลินิกเฉพาะทางทำหัตถการประเภทนี้เป็นประจำทุกวัน ทำให้มีความชำนาญสูง
  • เครื่องมือทันสมัย
    คลินิกเฉพาะทางมักมีการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น อัลตราซาวด์ความละเอียดสูงและเลเซอร์รุ่นล่าสุด
  • การดูแลใกล้ชิด
    ผู้ป่วยได้รับการดูแลแบบรายบุคคลและได้รับคำแนะนำอย่างละเอียด
  • บรรยากาศผ่อนคลาย
    การทำหัตถการในคลินิกไม่กดดันเหมือนการเข้าห้องผ่าตัดใหญ่ ไม่ต้องมารอคิวพบแพทย์นาน
  1. สรุปข้อดีของการรักษาแบบใหม่

การรักษาเส้นเลือดขอดในคลินิกเฉพาะทางด้วยเทคนิคสมัยใหม่ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างจากการผ่าตัดแบบเดิมอย่างชัดเจน

  1. เจ็บน้อย ฟกช้ำน้อย
  2. แผลเล็ก ไม่ต้องเย็บแผล
  3. ไม่ต้องดมยาสลบ
  4. เสียเลือดน้อย
  5. กลับบ้านได้เร็ว
  6. กลับไปทำงานหรือใช้ชีวิตได้ในเวลาอันสั้น

สรุป:
การรักษาเส้นเลือดขอดได้พัฒนาไปไกลจากเดิมอย่างมาก ปัจจุบันผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องแผลใหญ่หรือการพักฟื้นนานอีกต่อไป โดยเฉพาะการรักษาในคลินิกเฉพาะทางที่มีประสบการณ์และเทคโนโลยีทันสมัย ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ปลอดภัย เจ็บน้อย และฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

ภาพซ้ายแสดงเส้นเลือดขอดที่น่องซ้าย ภาพขวาแสดงเส้นเลือดฝอยที่บริเวณข้อเท้าขวา

แม้เส้นเลือดขอดจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ถ้าลุกลามอาจทำให้เกิดแผลเรื้อรัง เลือดออกรุนแรงหรือเส้นเลือดอักเสบได้ การป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงสำคัญมาก

5 วิธีป้องกันเส้นเลือดขอดที่บ้าน

  1. ใส่ถุงน่องแรงดัน (Compression Stockings) ถุงน่องเฉพาะโรคสำหรับโรคเส้นเลือดขอด
  • ช่วยบีบหลอดเลือดดำให้เลือดไหลเวียนกลับหัวใจได้ดี
  • ลดอาการปวด บวม และชะลอการลุกลามของเส้นเลือดขอด
  • ควรเลือกชนิดและแรงดันให้เหมาะสมโดยปรึกษาแพทย์

ภาพแสดงการใส่ถุงน่อง

  1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การขยับร่างกายช่วยให้กล้ามเนื้อขาทำงานเหมือน “ปั๊มเลือด”
ตัวอย่างการออกกำลังกายง่าย ๆ ที่ทำได้ที่บ้าน:

  • เดินเร็ว (Walking)
  • ยกส้นเท้า (Calf Raises)
  • หมุนข้อเท้า (Ankle Rotations)
  • ปั่นจักรยานในอากาศ (Bicycle Legs)
  1. ยกขาสูงวันละหลายครั้ง
  • การนอนยกขาสูงเหนือระดับหัวใจ 15–30 นาที วันละ 2–3 ครั้ง
  • ช่วยให้เลือดคั่งในหลอดเลือดขาน้อยลง
  • ลดอาการปวดและบวม โดยเฉพาะหลังยืนนาน ๆ
  1. หลีกเลี่ยงการยืนนานหรือนั่งนานเกินไป
  • คนที่ทำงานยืน เช่น พนักงานขาย ครู พยาบาล มีความเสี่ยงสูง
  • ถ้าจำเป็นต้องยืน ควร “ขยับเท้า” หรือ “ก้าวเดินเล็ก ๆ” ทุก 30–60 นาที
  • ถ้านั่งทำงานนาน ควรลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายหรือเดินบ้าง
  1. ควบคุมน้ำหนักและลดอาหารเค็ม
  • ภาวะอ้วน เพิ่มแรงดันในหลอดเลือดดำที่ขา ทำให้เสี่ยงเส้นเลือดขอดมากขึ้น
  • ควรกินผัก ผลไม้ ดื่มน้ำเพียงพอ และลดโซเดียม

เมื่อไรควรพบแพทย์?

  • เห็นเส้นเลือดปูดชัดเจนคล้ายเชือกที่ขา
  • มีเส้นฝอยคล้ายใยแมงมุมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
  • ปวด หนักขา หรือบวมจนรบกวนชีวิตประจำวัน

แพทย์สามารถประเมินและให้การรักษา เช่น การฉีดยา (Sclerotherapy), เลเซอร์รักษาหลอดเลือด (Endovenous Laser) หรือการรักษาแบบไม่ผ่าตัดอื่น ๆ ซึ่งปัจจุบันทำได้สะดวกและปลอดภัย ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องดมยา เพียงฉีดยาชาก็สามารถทำได้ ทำให้การรักษาเส้นเลือดขอดปัจจุบัน เป็นการรักษาแบบเดินมาเดินกลับได้เลย

สรุป

การป้องกันเส้นเลือดขอดสามารถเริ่มได้ง่าย ๆ ที่บ้าน ได้แก่

  1. ใส่ถุงน่องแรงดัน
  2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  3. ยกขาสูง
  4. หลีกเลี่ยงการยืนนานหรือนั่งนาน
  5. ควบคุมน้ำหนักและลดอาหารเค็ม

แม้ว่าวิธีเหล่านี้จะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการได้ แต่ ถ้ามีเส้นเลือดขอดแล้ว เพื่อการรักษาในการกำจัดเส้นเลือดเหล่านี้ถาวร  ควรรีบพบแพทย์ผู้ชำนาญเฉพาะด้านหลอดเลือดเพื่อการรักษาที่ถูกต้อง